ความรุ่งเรืองและความเสื่อมสลายของอาณาจักรพุกาม
รายงานการทบทวนวรรณกรรม
ความรุ่งเรืองและความเสื่อมสลายของอาณาจักรพุกาม
วิไลเลขา บุรณศิริ และสิริรัตน์ เรืองวงศ์วาร (2523) ได้กล่าวถึงความรุ่งเรืองของอาณาจักรพุกาม ไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนการเข้ามาของชาวตะวันตก โดยสรุปสาระสำคัญได้ว่า อาณาจักรพุกามในสมัยพระเจ้าอนิรุทธิ์ และกยันษิฐา พม่าสามารถแผ่ขยายอาณาเขตออกไปยังดินแดนของพวกอารกัน อาณาจักรมอญที่ ท่าตอน (Thaton) และเข้าไปยังอาณาจักรมอญในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา การที่พุกามได้ปราบมอญไว้ใต้อำนาจได้นี้ส่งผลในพุกามได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมมอญโดยเฉพาะด้านศาสนาและวัฒนธรรม แต่ต่อมาภายหลังอารยธรรมของพม่าก็ได้ปรากฎเด่นชัดขึ้นเหนืออารยธรรมมอญที่ทรงอิทธิพลอยู่แต่เดิม ทั้งนี้เนื่องจากการผสมผสานอารยธรรมพม่าและมอญเข้าด้วยกัน และความเป็นชาตินิยมของชาวพม่าเองด้วย
ยอร์ช
เซเดห์ (2525) ได้กล่าวถึง
ความเจริญรุ่งเรืองและการล่มสลายของอาณาจักรพุกาม ไว้ในหนังสือ ชนชาติต่าง ๆ
ในแหลมอินโดจีน โดยเน้นไปที่สถานการณ์ในรัชสมัยของกษัตริย์พระองค์ต่าง ๆ
ซึ่งสามารถสรุปสาระสำคัญได้ว่า
ประวัติศาสตร์ของอาณาจักรพุกามนี้ได้เริ่มต้นขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าอนิรุธ
โดยในรัชสมัยของพระองค์อาณาจักรพุกามถือได้ว่ามีความเจริญรุ่งเรือง เนื่องจากการขยายดินแดนจนกว้างใหญ่
มีการจัดการระบบชลประทานที่ดี
มีการรับเอาพุทธศาสนานิกายเถรวาทมาไว้ที่อาณาจักรพุกาม
ทำให้ชาวพม่าเลิกยึดถือไสยศาสตร์ตามลัทธิอริ ซึ่งเป็นความเชื่อดั้งเดิม
และที่สำคัญพระองค์ยังทรงส่งกองทัพไปตีหัวเมืองมอญที่อยู่ด้านใต้ และสามารถพิชิตดินแดนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ
ทำให้พม่ามีทางออกสู่ทะเล
นอกจากนี้ยังทำให้อาณาจักรพุกามได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมมอญ ทั้งในด้านศาสนา
วรรณคดี และศิลปะ และในเวลาต่อมาก็มีกษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชาอีกพระองค์หนึ่งคือ
พระเจ้าคยันสิทถา
โดยพระองค์ถือได้ว่าเป็นกษัตริย์ที่ยกย่องอารยธรรมมอญ และเคร่งในพุทธศาสนา
ในรัชสมัยของพระองค์ได้มีการสร้างเจดีย์ขนาดใหญ่ขึ้น คือเจดีย์อนันตปัญญา
นับเป็นสถาปัตยกรรมที่งดงาม นอกจากนี้พระองค์ยังส่งคณะทูตไปยังประเทศจีน
และหลังจากรัชสมัยของพระเจ้าคยันสิทถานี้ อาณาจักรพุกามก็เริ่มเกิดความวุ่นวายในราชสำนักเรื่อยมา
จนถึงรัชสมัยของพระเจ้าชัยสุระที่ 2 ซึ่งในรัชสมัยของพระองค์นับเป็นช่วงที่อาณาจักรพุกามมีความสงบเรียบร้อย
ซึ่งในช่วงเวลานี้พุทธศาสนาจากลังกาได้เข้ามามีอิทธิพลอย่างสูงทั้งต่อสังคมและงานศิลปะ
จากการเข้ามาของพระภิกษุ จาปาทะ และทำให้อารยธรรมมอญเริ่มเสื่อมถอยลงไป
เมื่อสิ้นรัชสมัยของพระเจ้าชัยสุระที่ 2 นี้พุกามก็เริ่มก้าวสู่การเสื่อมสลาย
เกิดความวุ่นวายในราชสำนัก มีการแก่งแย่งราชสมบัติ
และมีพระเจ้านรสิงหบดีทรงเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ที่ได้ครองอาณาจักรพุกาม
นอกจากนี้ผู้เขียนยังได้มีการกล่าวถึงหลักฐาน
ด้านสถาปัตยกรรมในอาณาจักรพุกาม โดยได้มีการแบ่งยุคสมัยของสถาปัตยกรรมดังกล่าว
ออกเป็น 2 ยุค ได้แก่
ยุคแรก (ค.ศ.1044 - 1113) เป็นยุคที่สถาปัตยกรรมในพุกามได้รับอิทธิพลจากมอญเป็นส่วนใหญ่
ยุคที่ 2 เป็นระยะเวลาที่ต่อเนื่องจากยุคแรกจนถึงช่วงที่พุกามได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของมองโกล
โดยสถาปัตยกรรมในยุคนี้ก็เริ่มมีความแปลกใหม่มากขึ้น
และอิทธิพลของอารยธรรมมอญที่ปรากฏในสถาปัตยกรรมก็ถือว่ามีอยู่บ้าง แต่เป็นส่วนน้อย
ดี.จี.อี ฮอลล์ (2526) ได้กล่าวถึง ความรุ่งเรืองของอาณาจักรพุกามโดยเฉพาะในรัชสมัยของพระเจ้าอโนรธา พระเจ้าครรชิต และการตกอยู่ภายใต้อำนาจของมองโกลในรัชสมัยของพระเจ้านรสีหบดี ไว้ในหนังสือ ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เล่ม 1 โดยสรุปสาระสำคัญได้ว่า พระเจ้าอโนรธาทรงเป็นกษัตริย์พระองค์แรกที่ทรงรวบรวมพม่าให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในทางการเมือง แต่เรื่องราวของพระองค์ยังถือได้ว่ามีความน่าเชื่อถือน้อย เพราะหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระองค์นั้นถือว่ามีน้อยมาก แต่ความสำเร็จของพระองค์ก็นำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองให้กับอาณาจักรพุกาม เช่น การรวบรวมดินแดน และสร้างแนวป้องกันเขตแดนของอาณาจักร ทรงมีชัยชนะเหนืออาณาจักรมอญ พร้อมกับทรงอัญเชิญ พระชินอรหันต์จากอาณาจักรดังกล่าวมาเผยแผ่พุทธศาสนานิกายหินยานให้แก่ชาวพุกาม โดยผู้เขียนได้ยกงานเขียนของกอร์ดอน ลูซมาเป็นหลักฐานที่ช่วยยืนยันแนวคิดดังกล่าว แต่ถึงกระนั้นก็เผยแผ่เข้ามาของพุทธศาสนานี้ชาวพม่าก็มิได้รับเข้ามาอย่างบริสุทธิ์ แต่มีการปรับให้เข้ากับความเชื่อดั้งเดิมของตน นอกจากนี้จากการเข้าตีอาณาจักรมอญก็ทำให้อารยธรรมมอญเข้ามามีอิทธิพลในอาณาจักรพุกาม โดยเฉพาะในราชสำนัก
ต่อมาในรัชสมัยของพระเจ้าครรชิต
ที่ภูมิหลังของพระองค์ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันระหว่างว่า
พระองค์ทรงเป็นโอรสของพระเจ้าอโนรธาหรือไม่
แต่อย่างไรก็ตามพระปรีชาสามารถของพระองค์ก็ถือได้ว่าเป็นที่ประจักษ์
โดยในรัชสมัยของพระองค์เป็นช่วงที่อารยธรรมมอญมีความเจริญรุ่งเรืองในอาณาจักรพุกาม
เนื่องจากพระเจ้าครรชิตทรงมีความนิยมในวัฒนธรรมมอญ
โดยทรงมีความพยายามในการสร้างความร่วมมือกันระหว่างชาวพม่าและชาวมอญ
พระเจ้าครรชิตทรงยกฐานะของกษัตริย์ในพุกามให้สูงขึ้นโดยใช้พิธีพราหมณ์
นอกจากนี้ผลงานที่สำคัญที่สุดของพระองค์อีกประการหนึ่งก็คือ การรวบรวมและชำระพระไตรปิฎก
และมีการส่งทูตไปยังประเทศจีน
หลังจากรัชสมัยของพระองค์สถานการณ์ในอาณาจักรของพุกามก็ดำเนินเรื่อยมาจนถึงรัชสมัยของพระเจ้านรสีหบดี ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว
ชนชาติมองโกลได้ขึ้นมามีอำนาจเหนือจีน
และมีความต้องการที่จะแผ่ขยายอำนาจไปยังดินแดนต่าง ๆ ซึ่งก็รวมถึงอาณาจักรพุกามในขณะนั้นด้วย
ในช่วงเวลานี้พุกามอยู่ในสภาวะที่มีความวุ่นวายภายในอาณาจักรโดยพระเจ้านรสีหบดีถือว่าเป็นกษัตริย์ที่มีความโหดร้ายและไม่เลื่อมใสในพุทธศาสนา
โดยเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัยของพระองค์ก็คือการประหารคณะทูตจากจักรพรรดิกุบไลข่าน
ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้จักรพรรดิกุบไลข่านทรงพิโรธและให้ผู้ปกครองในหัวเมืองใกล้เคียงจัดการลงโทษพม่า
และนำไปสู่การล่มสลายของอาณาจักรในที่สุด
สมคิด
ศรีสิงห์ (2526) ได้กล่าวถึง ราชวงศ์ของอาณาจักรพุกาม
ไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์เอเชียอาคเนย์ โดยสรุปสาระสำคัญได้ว่า
พระเจ้าอโนรธา เป็นกษัตริย์พระองค์แรกของอาณาจักรพุกาม
โดยพระองค์ทรงเป็นผู้สถาปนาอาณาจักรขึ้น และต่อมาก็ได้มีกษัตริย์องค์อื่น ๆ
ขึ้นครองราชย์ โดยอาณาจักรพุกามนี้มีกษัตริย์ขึ้นปกครองเมืองทั้งสิ้น 14 พระองค์ ได้แก่ 1) Anawratha 2) Sawlu 3) Kyanzittha 4) Alaungsithu 5) Narathu 6) Naratheihka 7)
Narapatisithu 8) Nantaungmya (Htilominlo) 9) Kyaswa 10) Uzana I 11)
Narathihapate (Tarokpyemin) 12) Kyawswa 13) Sawhnit 14) Uzana II
ดารารัตน์
เมตตาริกานนท์ (2531) ได้กล่าวถึงความรุ่งเรืองของอาณาจักรพุกาม
ไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 1 โดยสรุปสาระสำคัญไว้ทั้งสิ้น
4 ด้าน ได้แก่
1. ด้านสังคม
สังคมพุกามเป็นสังคมเกษตรกรรม ชาวพุกามมีความชำนาญในการค้าขาย
2. ด้านศาสนา
แต่เดิมชาวพุกามมีความเชื่อเรื่องภูตผี ต่อมาก็ได้หันมานับถือพุทธศาสนานิกายเถรวาท
ซึ่งความเชื่อทางพุทธศาสนานี้ก็ได้ถูกนำมาผสมผสานกับความเชื่อเดิม
พระและวัดมีความสำคัญต่อชีวิตของชาวพุกามมาก
3. ด้านศิลปะและวรรณคดี
พุกามได้รับอิทธิพลของมอญในยุคแรก ๆ ทั้งการนำภาษาและตัวอักษรของมอญมาใช้
แต่ภายหลังก็ได้เริ่มมีการพัฒนาศิลปะของพม่าโดยผสมเข้ากับอิทธิพลของอินเดีย
4. ด้านการปกครอง
อาณาจักรพุกามมีลักษณะการปกครองแบบศักดินาสวามิภักดิ์
โดยกษัตริย์ของพม่าจะอยู่ในฐานะเทวราชา
และมีเหล่าขุนนางคอยช่วยในการปกครองบ้านเมือง
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ (2544) ได้กล่าวถึงความเจริญรุ่งเรืองและการล่มสลายของอาณาจักรพุกาม
ไว้ในหนังสือ พม่า : ประวัติศาสตร์และการเมือง
โดยสรุปสาระสำคัญได้ว่า
นับตั้งแต่รัชสมัยของพระเจ้าอโนรธา อาณาจักรพุกามก็ได้มีความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น
ในด้านการทหาร และด้านสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะด้านสถาปัตยกรรมที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากในรัชสมัยของพระเจ้าจันสิทถา
ที่ได้มีการสร้างเจดีย์สำคัญ 2 องค์
คือเจดีย์ชเวสิกองและเจดีย์อานันท์ ซึ่งในปัจจุบันเจดีย์ทั้ง 2 องค์นี้ก็ยังคงเป็นที่เคารพสักการะของชาวพม่า
นอกจากนี้พุกามยังถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางทางจิตวิญญาณของอาณาจักรเนื่องจากการได้รับอิทธิพลจากอินเดียในด้านศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู และพุทธ
โดยผู้เขียนได้อ้างถึงงานเขียนของ ยอร์ช เซเดห์
ที่ได้อธิบายอิทธิพลดังกล่าวว่าเป็น “ภารตาภิวัตน์” (Indianization) ซึ่งนอกจากในพุกามแล้ว
อิทธิพลดังกล่าวก็ได้แพร่กระจายไปทั่วดินแดนในแถบนี้
โดนอาณาจักรพุกามได้มีรูปแบบการปกครองที่ได้รับอิทธิพลมาจากแนวคิด เทวราช
และในการสร้างเมืองก็ได้มีการใช้แนวคิดเกี่ยวกับเขาพระสุเมรุมาประกอบ
พุกามมีพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงเรื่อยมาตลอดช่วงระยะเวลากว่า
200 ปี
จนกระทั่งถูกกองทัพมองโกลของจักรพรรดิกุบไลข่านที่มีอิทธิพลทางภาคเหนือตีจนล่มสลายไปในที่สุด
หม่องทินอ่อง (2556) ได้กล่าวถึงจุดเริ่มต้นและการล่มสลายของอาณาจักรพุกามไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์พม่า
โดยสรุปสาระสำคัญได้ว่า อาณาจักรพุกามถูกสถาปนาขึ้นโดยพระเจ้าอนุรุท
ภายหลังการล่มสลายของอาณาจักรศรีเกษตรและการเลิกรุกรานของอาณาจักรน่านเจ้า
โดยพระเจ้าอนุรุททรงสร้างกองทัพที่ยิ่งใหญ่
จากการที่เคยอยู่ภายใต้บารมีของอาณาจักรน่านเจ้า
ทำให้พระองค์ทรงมีความชำนาญด้านการทหารและทรงขยายดินแดนไปทั่วบริเวณนำมาซึ่งมาเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรพุกามในเวลาต่อมา
จนมาถึงช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13 ก็เริ่มเข้าสู่ยุคเสื่อมสลายของอาณาจักรพุกาม
ซึ่งสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่การล่มสลาย คือ ความเสื่อมโทรมของสภาพสังคมในขณะนั้น
กอปรกับอิทธิพลของมองโกลที่รุกรานอาณาจักรต่าง ๆ จากทางภาคเหนือ
ซึ่งอิทธิพลดังกล่าวนอกจากจะส่งผลต่อการล่มสลายของอาณาจักรพุกามแล้ว
ยังส่งผลต่อการก่อตัวของอาณาจักรของชนชาติอื่น ๆในพม่า ในเวลาต่อมา
ทั้งอาณาจักรอังวะที่เป็นชาวไทใหญ่ ยะไข่ที่เป็นชาวพม่า และพะโคที่เป็นชาวมอญ
ดวงธิดา
ราเมศวร์ (ม.ป.ป) ได้กล่าวถึง
ความรุ่งเรืองของอาณาจักรพุกาม ไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์และราชวงศ์อาเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดยสรุปสาระสำคัญได้ว่า อาณาจักรพุกามก่อตั้งโดยพระเจ้าพยินบยา(Pyinbya) ในบริเวณที่เป็นเมืองพุกามในปัจจุบัน
โดยกษัตริย์ทรงพระปรีชาสามารถที่สุด และเป็นที่กล่าวถึงอย่างมากคือ พระเจ้าอโนรถ (Anawratha) พระองค์ทรงประสบความสำเร็จทั้งในด้านการขยายอาณาเขตและการศาสนา
โดยพระองค์ทรงเป็นผู้นำพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทจากลังกาเข้ามาเผยแผ่ในพุกาม
และทำให้อาณาจักรดังกล่าวกลายเป็นศูนย์กลางของพุทธศานสนานิกายเถรวาทในดินแดนแถบนี้
และยังเป็นผู้ริเริ่มสร้างมหาเจดีย์ชเวดากองขึ้น
แต่ก็ไม่แล้วเสร็จในรัชสมัยของพระองค์
นอกจากนี้กษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาอีกพระองค์หนึ่งของอาณาจักรพุกาม คือ
พระเจ้ากันสิทฐา (Kyanzittha) หรือกันชิต
ในรัชสมัยของพระองค์ก็ได้ทรงสร้างมหาเจีดีย์ชเวดากองต่อจนสำเร็จ
พระองค์ทรงขยายอาณาเขตของอาณาจักร และเผยแผ่พุทธศาสนาไปสู่วงกว้าง
นอกจากนี้พระองค์ยังทรงสถาปนาความสัมพันธ์กับชาวพุทธในอินเดียโดยการส่งคนไปช่วยเหลือในการบูรณธปฏิสังขรณ์
พุทธคยา และพระองค์ยังเป็นกษัตริย์พระองค์แรกที่ทรงส่งทูตไปเยือนประเทศจีน
โดยภายหลังรัชสมัยของพระเจ้ากันสิทฐานี้ อาณาจักรพุกามก็มิได้รุ่งเรืองมากขึ้น
และเริ่มเสื่อมถอยจนล่มสลายในที่สุด
บทสรุป
บทสรุป
จากการศึกษาความเจริญรุ่งเรืองและการล่มสลายของอาณาจักรพุกาม
พบว่าในประเด็นของความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรพุกาม
นักวิชาการกระแสหลักจะให้ความสำคัญกับรัชสมัยของพระเจ้าอโนรธา(เรียกตามเอกสารของดี.จี.อี
ฮอลล์) และพระเจ้าครรชิตในบางส่วน
ทั้งในแง่ของศักยภาพทางด้านการทหาร และความเจริญรุ่งเรืองของศิลปวัฒนธรรมจากมอญและอินเดีย
เช่น ศาสนาพุทธ และพราหมณ์-ฮินดู
แต่ในขณะเดียวกันก็มีงานบางส่วนที่กล่าวถึงสาเหตุของความเจริญรุ่งเรืองที่มาจากด้านภูมิศาสตร์เศรษฐกิจอีกด้วย
เช่น เอกสารของยอร์ช เซเดส์ ที่กล่าวถึงการจัดระบบชลประทานที่มีประสิทธิภาพ
และการควบคุมพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำอิรวดี
และในส่วนของการล่มสลายของอาณาจักรพุกาม เอกสารส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับการล่มสลายที่เกิดจากปัจจัยภายนอก (External factor) ซึ่งก็คือ การถูกรุกรานโดยอาณาจักรมองโกล
ซึ่งมีกองทัพที่แข็งแกร่งและยุทธศาสตร์การรบที่รวดเร็วดุดัน แต่ก็มีเอกสาเอกสารส่วนน้อย
คืองานของ หม่องทินอ่อง และเซเดส์ ที่กล่าวถึงปัจจัยภายใน (Internal factor) คือ การเมืองในราชสำนัก และความเสื่อมโทรมของสังคม
เอกสารอ้างอิง
เอกสารอ้างอิง
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, (2544). ราชวงศ์พุกาม (พ.ศ.1587 – 1830/1044 - 1287). ใน พม่า
: ประวัติศาสตร์และการเมือง (พิมพ์ครั้งที่ 4). (น.3
- 11). กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์.
ดารารัตน์ เมตตาริกานนท์, (2531). อาณาจักรต่าง ๆ สมัยแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้. ใน ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
1. (น.71 - 78). ขอนแก่น : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
ดี.จี.อี. ฮอลล์, (2526). จักรวรรดิพุกาม ค.ศ.1044 – 1287. ใน ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เล่ม 1 (พิมพ์ครั้งที่
2). (น.185 - 199). กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์.
ดวงธิดา ราเมศวร์, (ม.ป.ป.). ประวัติศาสตร์ราชวงศ์พม่า. ใน
พิริยะ พยุหพรยาตรา และปรเมศวร์ วิตตินานนท์ (บ.ก.), ประวัติศาสตร์และราชวงศ์อาเชียตะวันออกเฉียงใต้ (พิมพ์ครั้งที่ 1) (น.88 - 92). กรุงเทพฯ : ทัพอักษร
การพิมพ์.
ยอร์ช เซเดห์, (2525). รัฐต่าง ๆ ในอินโดจีนตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 ถึงศตวรรษที่
13 : พม่า. ใน
ชนชาติต่าง ๆ ในแหลมอินโดจีน (พิมพ์ครั้งที่
2). (น.98 - 103). กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์.
วิไลเลขา บุรณศิริ และสิริรัตน์
เรืองวงศ์วาร, (2523). อาณาจักรพม่า. ใน ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ก่อนการเข้ามาของชาวตะวันตก (พิมพ์ครั้งที่ 6). (น.166 - 184). กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
สมคิด ศรีสิงห์, (2526). อาณาจักรโบราณในพม่า. ใน
ประวัติศาสตร์เอเชียอาคเนย์ (พิมพ์ครั้งที่ 3). (น.126 - 133).
กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์พิฆเณศ.
หม่องทินอ่อง, (2556). อาณาจักรพุกามและจักรวรรดิพม่าครั้งแรก
และความเสื่อมของอาณาจักรพุกามและการรุกรานของชนชาติมองโกล. ใน ประวัติศาสตร์พม่า (พิมพ์ครั้งที่ 4). (น.33 - 83).
กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์.

Comments
Post a Comment